วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

‘มะยงชิด’ ผลไม้รสเลิศหนึ่งปีออกผลแค่ครั้งเดียว!!


‘เกษตรสร้างรายได้’ วันนี้พาไปทำความรู้จักกับต้น ‘มะยงชิด’ ผลไม้รสชาติอร่อยหนึ่งปีให้ผลผลิตครั้งเดียวเท่านั้น แถมมีราคาสูงกิโลกรัมถึงหลักร้อย!!!
เรียกได้ว่าช่วงเดือน ก.พ.-เม.ย. นี้ เหล่าคนที่ชื่นชอบทานผลไม้เฝ้าตั้งตารอ ‘มะยงชิด‘ กันอย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากเป็นผลไม้ที่หนึ่งปีจะออกให้ผลผลิตเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลายๆคนคงสงสัยว่าระหว่าง ‘มะปราง‘ กับ ‘มะยงชิด‘ มีความแตกต่างกันอย่างไรเพราะลักษณะต้นและลูกมันคล้ายๆกัน แต่เชื่อหรือไม่ว่าหากได้ลองลิ้มชิมรสชาติจะสามารถแยกแยะออกได้ทันที โดยมะปรางจะมีรสชาติหวาน ส่วนมะยงชิดจะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ซึ่งหากลูกสุกกำลังกินจะมีรสชาติหวานกลมกล่อมติดเปรี้ยวนิดๆกำลังพอดี ซึ่งในปัจจุบันมะยงชิดมีการปลูกอย่างแพร่หลายในประเทศไทย
วันนี้ทาง MThaiNews ในช่วง ‘เกษตรสร้างรายได้‘ มีโอกาสได้เดินทางไปพบกับคุณเฉลิม พึ่งสาระ หรือผู้ใหญ่ตู่ เจ้าของ ‘สวนผู้ใหญ่ตู่’ ตั้งอยู่ตำบลบางเลน จ.นนทบุรี เป็นสวนทุเรียนนนท์ ในโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์สวนทุเรียนนนทบุรีอย่างยั่งยืน ประจำปี 2560 ซึ่งเป็นสวนทุเรียนแต่มีการปลูกต้น ‘มะยงชิด’ รอบคันสวนกว่า 40 ต้น ในพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ 3 งาน
โดยผู้ใหญ่ตู่ เปิดเผยว่าจริงๆแล้ว สวนแห่งนี้เป็นสวนทุเรียนมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า-ตายาย กระทั่งช่วงก่อนปี 54 ก็มองว่าราคาทุเรียนเริ่มไม่ค่อยดีนัก จึงเริ่มนำกิ่งพันธุ์มะยงชิดมาปลูกบริเวณรอบคันสวน เนื่องจากราคาขายต่อกิโลกรัมสูงถึง 200-400 บาท จึงตัดสินใจปลูกเสริมไว้ ก่อนที่จะถูกน้ำท่วมหนักในปี 54 จนต้นทุเรียนและต้นไม้ชนิดอื่นๆ จมน้ำเสียหายนานร่วมหลายเดือน
ภายหลังน้ำลดก็ได้ตัดสินใจปลูกทุเรียนขึ้นมาใหม่ พร้อมกับปลูกต้นมะยงชิดไว้เช่นกัน แต่ด้วยความที่ต้นทุเรียนเป็นต้นไม้ที่โตช้าจึงยังไม่มีผลผลิตออกมา จนกระทั่งปี 57 ต้นมะยงชิดกลับติดดอกออกผลให้ผลผลิดอย่างมากมายในปีนั้นสามารถเก็บผลผลิตได้กว่า 1 ตัน จาก 40 กว่าต้นรอบสวน ส่งขายทั้งปลีกและส่งด้วยการบอกกันปากต่อ บางครั้งมีแม่ค้าต้องโทรสั่งจองกันล่วงหน้า
สำหรับเรื่องเทคนิคการปลูกนั้น ผู้ใหญ่ตู่บอกกับทีมข่าวว่า ต้นมะยงชิดนั้น เป็นต้นไม้ที่ทนทุกสภาพอากาศ แต่ด้วยนิสัยของมันแล้วจะชื่นชอบอากาศร้อนชิ้นมากกว่า เป็นพืชที่ทนต้องความร้อนและมีความแข็งแรงมาก จึงไม่ต้องบำรุงมากเท่าไร่นัก โดยจะหมั่นดูแลช่วงแตกใบอ่อนให้ระวังเรื่องหนอน ซึ่งจะป้องกันด้วยการพ่นยาประมาณ 2 ครั้ง ซึ่งหากพ้นช่วงนี้ไปได้ต้นก็จะแข็งแรงสมบูรณ์ จนกระทั่งช่วงกุมภาพันธ์ต้นก็จะเริ่มมีช่อดอกและออกเป็นลูกจากนั้นประมาณเดือนกว่าๆ ซึ่งระหว่างนั้นก็นั้นระวังเรื่องเพลี้ยไฟและแมลงวันทอง ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว ซึ่งต้องให้สุกคาต้นสีเหลืองอมส้ม โดยลูกของมันจะมีขนาดใหญ่กว่าไข่เป็ดเล็กน้อย ทั้งนี้จากเริ่มลงปลูกจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปีก็สามารถให้ผลผลิตได้แล้ว
ซึ่งหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตหมดแล้วก็จะทำการตัดแต่งกิ่งพันธุ์ รวมทั้งบำรุงด้วยปุ๋ยคอก ส่วนการให้น้ำจะดูจากสภาพอากาศหากมีอากาศร้อนก็จะให้น้ำวันเว้นวัน นอกจากทุเรียน มะยงชิด ที่สวนของผู้ใหญ่ตู่ยังมีการปลูกพืชอีกหลากหลายชนิดอาทิกระท้อน พริก ฯลฯ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสวนที่มีการปลูกพืชแบบผสมผสาน
แต่อย่างไรก็ตามสำหรับปีนี้ที่สวนของผู้ใหญ่ตู่ ต้นมะยงชิดติดลูกน้อยกว่าปีก่อนๆอย่างมาก คาดว่าในสวนของผู้ใหญ่ตู่จะได้ผลผลิตประมาณ 100 กิโลกรัม ซึ่งจากที่สอบถามเพื่อนๆที่ปลูกมะยงชิดด้วยกัน ก็ต่างพากันบ่นว่าปีนี้มะยงชิดให้ผลผลิตน้อย โดยคาดว่าราคาในปีนี้อาจจะสูงขึ้นอย่างแน่นอน
ทั้งนี้หากใครที่สนใจอยากเข้าไปศึกษา หรือเลือกซื้อผลไม้ต่างๆ สามารถเดินทางไปได้ที่ ‘สวนผู้ใหญ่ตู่’ ต.บางเลน จ.นนทบุรี หรือโทรสอบถามได้ที่เบอร์ 081-400-4117 (คุณเฉลิม หรือ ผู้ใหญ่ตู่)
ภาพ/เนื้อหา โดย ธเนตร พุทธิตระกูล
มะยงชิด ขนาดใหญ่กว่าไข่เป็ด

ที่มา : https://news.mthai.com/economy-news/618129.html

ชาวบ้านรวมตัวเลี้ยงผึ้งโพรง สร้างรายได้ปีละ 1 ล้านบาท


ชาวบ้านรวมตัวเลี้ยงผึ้งโพรง สร้างรายได้ปีละ 1 ล้านบาท
เลี้ยงผึ้งโพรงแปลงใหญ่จับขายได้ราคาดี โดยเฉพาะน้ำผึ้งเดือน 5 มีลูกค้าสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 1,000,000 บาทต่อปี
วันที่ 17 เมษายน 2561 นายประยูร หนูเหมือน อายุ 63 ปี ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงผึ้งโพรงบ้านไสใหญ่ หมู่ที่ 7 ต.อ่าวตง อ.วังวิเศษ จ.ตรัง พร้อมสมาชิกจำนวน 49 คน ช่วยกันเก็บน้ำผึ้งจากลังผึ้งโพรง ซึ่งสมาชิกกลุ่มเลี้ยงไว้ตามบ้านรวมกันแล้วจำนวน 1,520 ลัง เพื่อส่งขายให้ทันกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่จะสั่งเป็นน้ำผึ้งสดๆ มีตั้งแต่ราคาขวดละ 100-500 บาท
   โดยเชื่อว่าน้ำผึ้งมีสรรพคุณทางยามากมาย ทั้งยังสามารถรักษาแผลน้ำร้อนลวกได้และยังช่วยบำรุงร่างกายให้สดชื่น ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น โดยเป็น 1 อาหารที่ใช้ในการกวนข้าวมธุปายาสเพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าด้วย โดยเฉพาะน้ำผึ้งเดือน 5 ซึ่งมีลูกค้าสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากเป็นช่วงหน้าแล้งจะทำให้รสชาติของน้ำผึ้งหวานเข้มข้นและสีสันสวยงามกว่าฤดูอื่น ซึ่งสมาชิกได้รวมกลุ่มกันเลี้ยงผึ้งโพรงในระบบส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่เมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา โดยสมาชิกแต่ละคนจะเลี้ยงผึ้งโพรงไว้ตั้งแต่ 30-100 ลัง และทยอยเก็บน้ำผึ้งได้ทุก 3 เดือน
และนอกจากจะขายเป็นน้ำผึ้งสดแล้ว ยังมีการแปรรูปเป็นสบู่ ครีมนวด แชมพู ยาหม่องและอื่น ๆ วางขายในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านไสใหญ่ตลอดทั้งปี เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชมหมู่บ้าน ได้มีโอกาสซื้อผลิตภัณฑ์จากน้ำผึ้งกลับไปเป็นของฝากหรือของที่ระลึก สร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 1,000,000 บาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีการขายลังเลี้ยงผึ้ง การสอนวิธีการเลี้ยงผึ้งและการแปรรูปให้กับเกษตรกรที่สนใจ โดยผึ้ง 1 ลังจะเก็บน้ำผึ้งขวดใหญ่ได้ตั้งแต่ 3-7 ขวด ทำรายได้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านไสใหญ่ไม่ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อคนต่อปี
ด้านนายประยูร หนูเหมือน ประธานวิสาหกิจชุมชนบ้านไสใหญ่ ต.อ่าวตง อ.วังวิเศษ จ.ตรัง กล่าวว่า ตนเลี้ยงผึ้งมาตั้งแต่ปี 2557 มีอยู่ประมาณ 30 ลังมีขายตั้งแต่ราคาขวดละ 100-500 บาท สร้างรายได้ปีที่แล้วกว่า 20,000 บาทเลยทีเดียว ซึ่งบางส่วนได้นำมาแปรรูปเป็นสบู่ แชมพู ครีมนวดและยาหม่องมีวางขายตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่ลูกค้านิยมนำไปบริโภคสดเพราะเชื่อว่าเป็นสมุนไพร


เกษตรเมืองพะเยา ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมสร้าง




ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ที่ 20 ตำบลร่มเย็น อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ร่วมกันสานต่ออาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม หลังได้รับที่ดินพระราชทานเมื่อปี พ.ศ 2516
เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 60 กลุ่มผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในพื้นที่หมู่ที่ 20 ต.ร่มเย็น อ.เชียงคำ จ.พะเยา นำผู้สื่อข่าวเข้าดูแปลงปลูกหม่อน ที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานที่ดิน ทำกินให้ เมื่อปี 2516 ครั้งเสด็จพระราชดำเนิน มาแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนชาวอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ในครานั้นโดยได้มีการส่งเสริมให้ชาวบ้าน ในพื้นที่ทำการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เพื่อเป็นการสร้างรายได้ โดยชาวบ้าน ก็ได้ร่วมมือกันที่จะทำการ ประกอบอาชีพที่พระองค์ท่านพระราชทานมาให้ เป็นระยะเวลายาวนาน ถึงแม้บางช่วงเวลาจะะล้มลุกคลุกคลาน แต่ชาวบ้านที่นี่ก็ยังคงยืนยันที่จะสืบสานอาชีพพระราชทานดังกล่าวไว้อย่างเหนียวแน่น
โดยนางเฉลา มูลยวรรณ ประธานกลุ่มผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม หมู่ที่ 20 ต.ร่มเย็น กล่าวว่า ในครานั้นพระองค์ท่านได้เสด็จพระราชดำเนินมาในพื้นที่อำเภอเชียงคำเมื่อปี 2516 และพวกเราได้นำผ้าไหมที่พวกเราทำการเลี้ยงและสาวไหมรวมทั้งทอเอง มอบให้กับพระองค์ท่าน พระองค์ท่านจึงได้ทำการส่งเสริมให้มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในพื้นที่โดยได้พระราชทานที่ดินทำกินให้ชาวบ้านและส่งเสริมอาชีพ ซึ่งถือว่าอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมของที่นี่ถือเป็นอาชีพพระราชทาน
ชาวบ้านที่นี่จึงทำการสืบสานมามาเป็นระยะเวลายาวนานและไม่เคยทอดทิ้ง ถึงแม้บางช่วงเวลาจะล้มลุกคลุกคลานแต่พวกเราก็ยังคงรักษาอาชีพนี้ไว้ โดยแรกเริ่มจะทำการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม สาวไหม ทอไหมเอง จากนั้นเลี้ยงขายรังไหม จากนั้นเลี้ยงจำหน่ายรังไหม จนล่าสุดชาวบ้านที่นี่สามารถลืมตาอ้าปากได้ เพราะมีการเลี้ยงไหมในลักษณะขายตัวไหม ซึ่งจะจำหน่ายกิโลกรัมละ 100 บาท ในแต่ละรอบซื่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 23 วันก็สามารถที่จะเก็บตัวไหมจำหน่ายได้ ซึ่งจะมีรายได้ประมาณ 25,000 บาท จากเดิมที่เคยทำเป็นอาชีพเสริมปัจจุบันถือว่าเป็นอาชีพหลัก และเราจะสืบสานอาชีพนี้ต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่

‘เห็ดถั่งเช่า’ สมุนไพรสรรพคุณเยอะ กิโลกรัมหลักหมื่น!!


‘เห็ดถั่งเช่า’ สมุนไพรสรรพคุณเยอะ กิโลกรัมหลักหมื่น!!เห็ดถั่งเช่า สมุนไพรสรรพคุณเยอะ กิโลกรัมหลักหมื่น

อดีตมนุษย์เงินเดือน หันมาเพาะ ‘เห็ดถั่งเช่า’ เห็ดสมุนไพรมากสรรพคุณ ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 6 หมื่นบาท
หากพูดถึง ‘เห็ดถั่งเช่า‘ ณ เวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก ซึ่งต้องยอมรับว่าเห็ดสายพันธุ์นี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางสำหรับเกษตรกรรุ่นใหม่ และกลุ่มคนที่รักสุขภาพ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 5-6 ปี ที่แล้ว เห็ดสายพันธุ์นี้ในประเทศไทยหากมีใครเอ่ยชื่อนี้ก็คงจะงงกันเป็นแถว
เห็ดถั่งเช่า‘ นั้น เป็นเห็ดสมุนไพรที่เลื่องลือในเรื่องของสรรพคุณนานาชนิด โดยหลักๆแล้วจะช่วยในเรื่องของระบบการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น ช่วยแก้อาการอ่อนล้าอ่อนเพลียของร่างกาย แก้ภูมิแพ้ บำรุงและช่วยเพิ่มประสิทธิในการทำงานของตับและไต และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งแหล่งกำเนิดมาจากทิเบต ประเทศจีน
จากในสถานการณ์ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าคนส่วนใหญ่เริ่มหันมาสนใจดูแลสุขภาพตัวเองมากยิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงสารที่เป็นอันตราย และหันมาใช้ของดีจากธรรมชาติ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘เห็ดถั่งเช่า’ เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่คนยุคนี้พูดถึงเพราะด้วยราคาที่แพงตกกิโลกรัมกว่า 60,000 บาท
วันนี้ MThaiNews ในช่วง ‘เกษตรสร้างรายได้‘ มีโอกาสได้เดินทางไปที่ ‘สุนันทาฟาร์ม เห็ดถั่งเช่า‘ ของคุณสุนันทา ลือวนิชวงศ์ อายุ 34 ปี และคุณอนุชิต สงวนน้อย อายุ 29 ปี ตั้งอยู่ภายใน เรวดีซอย 4 อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเพาะ ‘เห็ดถั่งเช่าสีทอง’ จำหน่ายทั้งปลีกและส่ง โดยวันนี้ทางเจ้าของฟาร์มจะเปิดเผยถึงข้อมูลและเทคนิคดีๆในการทำเพาะเลี้ยงเห็ดถั่งเช่าให้กับผู้อ่านทุกท่านได้ติดตามกัน
โดยคุณสุนันทา เปิดเผยว่าแต่ก่อนนั้นก็เป็นมนุษย์เงินเดือนตามวิถีชีวิตของคนที่เรียนจบใหม่แล้วหางานทำ แต่ด้วยส่วนตัวเป็นคนที่ชื่นชอบและใส่ใจเรื่องสุขภาพ ประกอบกับภายในครอบครัวประสบปัญหาเรื่องสุขภาพกัน จึงหันมาศึกษาและได้พบกับ ‘เห็ดถั่งเช่า’ ซึ่งพบว่าเห็ดชนิดนี้มีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายอย่างมากมาย จากการทดลองทาน (แบบชงดื่ม) ก็เห็นผลชัดเจน จึงเริ่มศึกษาจากในอินเตอร์เน็ต ร่วมทั้งไปฝึกอบรมกับทางฟาร์มเลี้ยงของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ จนมั่นใจ
หลังจากนั้นได้เริ่มติดต่อนำเชื้อเห็ดถั่งเช่าโดยสั่งนำเข้ามาจากประเทศเกาหลีใต้ในราคาประมาณ 10,000 บาท ก็ได้เริ่มทดลองเพาะจนมีผลผลิตมากขึ้น จึงตัดสินใจออกจำหน่ายโดยเริ่มจากช่องทางสื่อออนไลน์ต่างๆ ทั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก จนมีคนสนใจเป็นจำนวนมาก สุดท้ายจึงตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมุ่งมาที่การทำเห็ดถั่งเช่าอย่างเต็มตัว
โดยกระบวนการเพาะเห็ดถั่งเช่านั้นแบ่งง่ายๆเป็น 6 ระยะ ซึ่งกระบวนการต่างๆก็จะวนเวียนเช่นเดิม โดยขั้นตอนแรกให้เตรียมเชื้อพันธุ์ หรือหากใครมีตัวเห็ดถั่งเช่าอยู่แล้วให้ตัดดอกเห็ดประมาณ 1 เซนติเมตร นำไปแปะไว้ในขวดแก้ว ก็จะได้เชื้อวุ้นหรือที่เรียกกันว่า PDA จะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากได้เชื้อวุ้นแล้วก็ตัดมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อเตรียมพร้อมสู่ขึ้นตอนการปั่นเชื้อ ซึ่งในขั้นตอนนี้จะใช้ส่วนผสมจากน้ำต้มมันฝรั่ง น้ำตาลทรายแดง และเป๊ปโตนยีส นำมาผสมรวมกันและใส่เชื้อวุ้นลงไป โดยจะปั่นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อให้เกิดการแตกตัวของเนื้อเยื้อ
ลำดับการเจริญเติบโตของเห็ดถั่งเช่า
หลังจากปั่นเชื้อเสร็จแล้ว ให้เตรียมกระบวนการต่อไปโดยใช้ข้าวกล้องนึ่งสุกใส่ไว้ในขวดแก้วโดยทางฟาร์มจะใช้ขนาด 16 ออนซ์ โดยใส่ข้าวกล้องลงไปเป็นฐานล่าง พร้อมนำเชื้อเห็ดที่ปั่นเสร็จแล้วมาหยอดใส่ในปริมาณ 5 มิลลิลิตร ให้ทั่วขวด หลังจากนั้นให้เก็บไว้ในห้องมืดเพื่อให้เส้นใยเห็ดได้มีเวลาในการเดินกินสารอาหาร หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ นำออกมาให้แสงเพื่อกระตุ้นให้ออกดอก และสร้างสารสำคัญทางยาอีกด้วย โดยต้องควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ประมาณ 18 – 22 องศาเซลเซียส และปลอดเชื้อโดยที่ฟาร์มจะมีการเซตระบบแอร์ไว้ 2 เครื่องเปิดและปิดสลับกัน พร้อมมีเครื่องฆ่าเชื้อ หลังจากนั้นประมาณ 3-4 สัปดาห์ ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว รวมแล้วจะใช้ระยะเวลาประมาณ 60-70 วัน ทั้งนี้เน้นย้ำว่าการเพาะเห็ดถั่งเช่าทุกขั้นตอนนั้น ต้องสะอาดและปลอดเชื้อรวมทั้งควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในเกินที่เหมาะสม เท่านี้ก็จะได้ผลผลิตตามที่ต้องการแล้ว
หลังจากตัดดอกเห็ดเรียบร้อยแล้วก็จะนำไปอบแห้งและฉายรังสีฆ่าเชื้อพร้อมบรรจุขาย ซึ่งราคาปัจจุบันกิโลกรัมละประมาณ 60,000 บาท โดยทางฟาร์มสามารถผลิตได้เดือนละ 10 กิโลกรัม ซึ่งผลผลิตทั้งหมดยังผ่านการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ทางฟาร์มยังมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเห็ดถั่งเช่าเป็นสบู่ล้างหน้า
สำหรับใครที่สนใจอยากจะเพาะเลี้ยงเห็ดถั่งเช่า คุณสุนันทา แนะนำว่าควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน และสิ่งสำคัญต้องมีใจรักด้านสุขภาพ ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเป็นที่พืชสมุนที่มีราคาสูงแล้วก็เพาะไปตามกระแส ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งเน้นย้ำว่าควรเริ่มจากการเพาะเลี้ยงเล็กๆ ไว้ทานภายในครอบครัวก่อน สถานที่เลี้ยงง่ายๆ ใกล้ตัว อาจจะเริ่มจากภายในตู้เย็น หรือกล่องโฟม ก็ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามหากใครที่สนใจอยากสั่งซื้อเห็ดถั่งเช่า หรืออยากศึกษาการเพาะเลี้ยง สามารถเดินทางไปได้ที่ ‘สุนันทาฟาร์ม เห็ดถั่งเช่า’ เรวดีซอย 4 อ.เมือง จ.นนทบุรี หรือโทรสอบถามได้ที่เบอร์ 081-866-3882 คุณสุนันทา ลือวนิชวงศ์
ภาพและบทความโดย ธเนตร พุทธิตระกูล
เชื้อวุ้น PDA
การปั่นเนื้อเยื้อ
เห็ดถั่งเช่าสีทอง
การเพาะเลี้ยงเห็ดถั่งเช่าในกล่องโฟม


เกษตรกรตรังเพาะ ‘สาหร่ายขนนก-สาหร่ายพวงองุ่น’ ส่งขายรายได้งาม




เกษตรกรเพาะเลี้ยง ‘สาหร่ายขนนก’ – ‘สาหร่ายพวงองุ่น’ ส่งขายรายได้ดี ทำได้สารพัดเมนู และเป็นเมนูสำหรับคนรักสุขภาพ
วันที่ 18 เมษายน 2561 ที่บ้านเลขที่ 377 ม.8 ต.ท่าข้าม อ.ปะเหลียน จ.ตรัง
นายจิรวุฒิ วงศ์เทพวณิชย์ เกษตรกรเพาะเลี้ยง สาหร่ายพวงองุ่นและสาหร่ายขนนกส่งขายราคาสูงทำได้สารพัดเมนู และเป็นเมนูสำหรับคนรักสุขภาพ ซึ่งในปัจจุบันนิยมกินกันอย่างแพร่หลาย
สำหรับสาหร่ายพวงองุ่น ขายส่ง กิโลกรัมละ 200 บาท และในตามท้องตลาด กิโลกรัมละ 350 บาท แบ่งขายเป็นกล่องขนาดละ 1 ขีด ขีดละ 35 บาท ส่วนสาหร่ายขนนก ขายส่งราคากิโลกรัมละ 100 บาท และในตลาดท้องตลาด กิโลกรัมละ 170-200 บาท แบ่งขายเป็นกล่องกล่องละ 35 บาทเช่นกัน พร้อมกับมีน้ำจิ้มเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทำเอง แถมให้ในกล่องอีกด้วย
ด้านนายจิรวุฒิ วงศ์เทพวณิชย์ เกษตรกรเพาะเลี้ยง กล่าวว่า สำหรับสาหร่ายขนนกเป็นสาหร่ายพื้นถิ่น ทางฝั่งอันดามัน ซึ่งจังหวัดตรังจะมีอยู่ในท้องถิ่นอยู่แล้ว เราก็นำมาเลี้ยงใน กระชัง เพื่อมันจะง่ายในการขาย และจำหน่าย เพราะว่าหากของธรรมชาติจะเก็บ ทีละเยอะๆ มันจึงเก็บรักษาไม่ได้ และนำมาเก็บรักษาในกระชัง เพื่อที่จะได้ป้อนกับลูกค้า ได้ทั้งปี
ส่วนสาหร่ายพวงองุ่นเราซื้อพันธุ์มาจากจังหวัดเพชรบุรี จากศูนย์วิจัยของประมงเพชรบุรี และได้นำมาเพาะเลี้ยง ซึ่งตัวสาหร่ายพวงองุ่นเลี้ยงอยู่ประมาณ 4 เดือน ก็สามารถนำมาจำหน่ายได้ ส่วนวิธีการเก็บของสาหร่ายพวงองุ่น พอมันได้ขนาดประมาณ 3 นิ้วขึ้นไป ก็เป็นที่ต้องการของตลาด ก็เก็บจากตัวที่เพาะเลี้ยง และนำมาพักไว้ประมาณ 1 อาทิตย์ และจะต้องเปลี่ยนน้ำทุกวัน เพื่อให้ตะกอนมันออก
เนื่องจากล้างด้วยวิธีอื่นยาก เพราะไม่สามารถนำมาขัดถูหรือใช้วิธีอื่นได้ ใช้วิธีน้ำผ่าน นำมาใส่น้ำและเปิดออกซิเจนเพื่อให้ตะกอนมันหลุดลอกออกไป สำหรับตัวสาหร่ายพวงองุ่นขายส่งกิโลกรัมละ 200 บาท ซึ่งผู้รับซื้อก็จะนำไปขายต่อในราคากิโลกรัมละ 350 บาท ส่วนสาหร่ายขนนก ขายส่งอยู่กิโลกรัม 100 บาท โดยผู้รับซื้อนำไปขายต่อในกิโลกรัม 170-200 บาท
ทั้งนี้รสชาติ สาหร่ายพวงองุ่นจะมีรสชาติไม่เค็ม ซึ่งรสชาติจะกินได้กับอาหารทุกประเภท ส่วนสาหร่ายขนนกจะมีความเค็ม จะเน้นกินได้กับพวกอาหารภาคใต้มากกว่า เป็นผักพวกเครื่องเคียงกินกับขนมจีนกินกับข้าวแกงการกินจะต่างกันแต่ตัวสาหร่ายพวงองุ่น สามารถนำไปทำได้เป็นเมนูต่างๆ ส่วนสาหร่ายขนนกจะเป็นเครื่องเคียงมากกว่า
ทางด้านประโยชน์ ซึ่งเราคิดได้ง่ายๆ ผักสีเขียวมีประโยชน์อย่างไร และในตัวของสาหร่ายก็ไม่ต่างกันแต่ที่เพิ่มเติมคือพวกเกลือแร่ ไอโอดีน ที่มาจากทะเล และอย่างที่ตนเองเลี้ยงก็เลี้ยงในทะเล เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่าไม่มีสารพิษแน่นอน เนื่องจากเราไม่รู้จะใส่ปุ๋ยอย่างไร จะใส่สารเคมีอย่างไรในทะเล หากใส่ไปเนื่องด้วยทะเลน้ำเยอะ
จึงมั่นใจได้เลยว่า ปลอดภัยจากสารพิษอย่างแน่นอน และหากจะเก็บใส่ไว้ในตู้เย็น ก็ไม่สามารถเก็บใส่ไว้ได้แต่ควรตั้งไว้ในอุณหภูมิของห้อง และหากสาหร่ายมีการคายน้ำ ก็ควรเทน้ำทิ้ง ซึ่งตนทดลองโดยตั้งไว้ 7 วัน สาหร่ายก็ไม่เกิดการเน่าเสีย แต่หากนำไปแช่ตู้เย็นไม่ถึง 1 คืน สาหร่ายจะกลายเป็นน้ำหมดเลยนับว่าเป็นความแปลก
ซึ่งตนก็นึกว่าแช่ตู้เย็นน่าจะใช้ได้ และตอนนี้ตนเองก็ไม่ได้ขายส่งในเฉพาะจังหวัดตรังเท่านั้น ได้ขายส่งไปยังจังหวัดต่างๆจังหวัดเชียงใหม่ ส่งทางภาคเหนือภาคอีสานทางโคราชส่งทางเคอรี่หรือทางไปรษณีย์ ซึ่งรายได้ของของสาหร่ายมีรายได้ต่อวันวันละ 1,000 บาท และมีขายทุกวัน เนื่องจากตลาดหลักก็คือขายตามโรงพยาบาลตรัง โรงพยาบาลปะเหลียน จะเป็นตลาดที่เน้นรักสุขภาพ หรือในตลาดเกษตรก็มีขายเช่นกัน
จากการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาพบว่าสาหร่ายขนนกและสาหร่ายพวงองุ่น อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น ไอโอดีน แมกนีเซียม แคลเซียม โปแทสเซียม เหล็ก มีกรดอะมิโนจำเป็นหลายชนิดที่พืชบกไม่มี มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีเส้นใยสูง ไขมันต่ำ และไม่มีคอเลสเตอรอล จึงบริโภคได้ทุกเพศทุกวัย หรือแม้แต่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิต ทั้งยังมีการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สปาอีกด้วย


ที่มา : https://news.mthai.com/economy-news/634224.html